การแจ้งเตือนฉุกเฉินดิจิทัลและความปลอดภัยไซเบอร์ในประเทศไทย ปี 2025

รู้หรือไม่ว่าในปี 2025 ระบบแจ้งเตือนฉุกเฉินดิจิทัลผ่าน Cell Broadcast จะช่วยให้คุณได้รับการเตือนภัยอย่างรวดเร็วและแม่นยำ พร้อมมาตรการความปลอดภัยไซเบอร์ทันสมัย ปกป้องข้อมูลและชีวิตประจำวันอย่างมั่นคงและน่าเชื่อถือในภาคส่วนสำคัญต่าง ๆ อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

การแจ้งเตือนฉุกเฉินดิจิทัลและความปลอดภัยไซเบอร์ในประเทศไทย ปี 2025

ระบบแจ้งเตือนฉุกเฉินดิจิทัลด้วยเทคโนโลยี Cell Broadcast

AIS ได้ร่วมมือกับกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) ในการทดสอบระบบแจ้งเตือนภัยฉุกเฉินผ่านระบบ Cell Broadcast ตั้งแต่ต้นปี 2568 ระบบนี้ถูกออกแบบเพื่อส่งข้อความไปยังโทรศัพท์มือถือของประชาชนในพื้นที่เสี่ยงจำนวนมากในช่วงเวลาสั้น โดยมีการทดสอบในระดับพื้นที่ต่าง ๆ ได้แก่ ระดับเล็ก ระดับกลาง และระดับใหญ่ในจังหวัดต่าง ๆ ข้อความทดสอบประกอบด้วยข้อความสองภาษา เช่น “This is a test message from Department of Disaster Prevention and Mitigation (DDPM). No action required” เพื่อประเมินประสิทธิภาพและนำข้อมูลไปปรับปรุงระบบให้มีความไวและแม่นยำสูงสุดสำหรับการใช้งานจริง

นอกจากความรวดเร็วในการแจ้งเตือนแล้ว ระบบนี้ยังมีการวางแผนการส่งข้อมูลแบบมีลำดับความสำคัญ (Priority Messaging) เพื่อให้ข้อความแจ้งเตือนฉุกเฉินได้รับการส่งผ่านไปยังผู้รับที่ต้องการก่อนสิ่งอื่น ทำให้ข้อมูลสำคัญไม่ถูกสะสมจนล่าช้า นอกจากนี้ การทดสอบยังครอบคลุมความเข้ากันได้กับโทรศัพท์มือถือทุกรุ่นตั้งแต่รุ่นพื้นฐานจนถึงสมาร์ตโฟนไฮเอนด์ เพื่อให้มั่นใจว่าประชาชนทุกกลุ่มจะได้รับข้อมูลทันที

การใช้ Cell Broadcast นอกจากจะช่วยเพิ่มความปลอดภัยของประชาชนในกรณีเกิดภัยพิบัติ เช่น น้ำท่วม ภูเขาไฟระเบิด หรือเหตุฉุกเฉินด้านความมั่นคงแล้ว ยังเหมาะสำหรับการแจ้งเตือนสถานการณ์โควิด-19 หรือการอัปเดตมาตรการป้องกันโรคระบาดที่ต้องการความเร็วและความแม่นยำในการกระจายข้อมูล

การจัดการความปลอดภัยไซเบอร์ผ่าน Sectoral CERT และเทคโนโลยีล้ำสมัย

รัฐบาลไทยในปี 2025 ได้ก่อตั้งหน่วยงาน Sectoral CERT (Computer Emergency Response Team) ในหลายภาคส่วนสำคัญ เช่น ภาคคมนาคม การเงิน และสาธารณสุข เพื่อบริหารจัดการและลดผลกระทบจากภัยคุกคามไซเบอร์ที่ซับซ้อน

ภายใน Sectoral CERT มีการใช้งานเทคโนโลยี เช่น

  • Extended Detection and Response (XDR): ช่วยตรวจจับภัยคุกคามและเก็บข้อมูลเชิงลึก เพื่อลดเวลาในการตรวจจับเหตุการณ์ อีกทั้งสามารถวิเคราะห์รูปแบบการโจมตีแบบเชิงรุก เพื่อป้องกันไม่ให้เหตุการณ์ขยายวงกว้าง
  • Cortex XSOAR: แพลตฟอร์มออโตเมชันด้านความปลอดภัยที่ช่วยลดเวลาในการตอบสนองแก้ไขเหตุการณ์ โดยการทำงานอัตโนมัติเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดการเหตุการณ์ ผ่านการทำงานร่วมกันของผู้เชี่ยวชาญและระบบอัตโนมัติ ซึ่งช่วยลดความผิดพลาดจากมนุษย์

นอกจากนี้ Sectoral CERT ยังเน้นการพัฒนาและฝึกอบรมบุคลากรในด้านความปลอดภัยไซเบอร์อย่างต่อเนื่อง รวมถึงการวางแผนซ้อมแผนรับมือเหตุการณ์จริง (Cyber Drill) เพื่อเตรียมความพร้อมให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดเมื่อเผชิญภัยไซเบอร์จริง

ความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชนทั้งในและต่างประเทศเป็นอีกปัจจัยสำคัญที่ช่วยให้ประเทศไทยสามารถตอบสนองต่อภัยคุกคามไซเบอร์ที่มีความซับซ้อนและรวดเร็วได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยมีการแบ่งปันข้อมูลภัยคุกคาม (Threat Intelligence Sharing) ผ่านแพลตฟอร์มกลางซึ่งช่วยให้องค์กรต่าง ๆ แจ้งเตือนและป้องกันภัยได้อย่างรวดเร็ว

การบริหารความเสี่ยงในภาคการเงินและมาตรฐานการประเมิน

ภาคการเงินถือเป็นหนึ่งในกลุ่มที่มีความเสี่ยงต่อภัยคุกคามไซเบอร์ รัฐบาลและธนาคารต่าง ๆ ได้นำมาตรการตามมาตรฐานสากล เช่น แนวทางของ National Institute of Standards and Technology (NIST) มาใช้เพื่อบริหารจัดการความเสี่ยงและรักษาความมั่นคงของข้อมูลทางการเงิน

นอกเหนือจากการเสริมสร้างมาตรการป้องกันที่เข้มข้นแล้ว ภาคการเงินในปี 2025 ยังเพิ่มการใช้เทคโนโลยี Blockchain เพื่อยกระดับความปลอดภัยของธุรกรรมทางการเงิน ช่วยลดความเสี่ยงจากการปลอมแปลงข้อมูลและทุจริตที่อาจเกิดขึ้น รวมถึงระบบการตรวจสอบตัวตนแบบหลายชั้น (Multi-factor Authentication) ที่ถูกนำมาใช้กับทุกระดับของการทำธุรกรรมเพื่อป้องกันการเข้าถึงโดยไม่ได้รับอนุญาต

เนื่องจากระบบในภาคการเงินมีความซับซ้อนและต้องการความปลอดภัยสูง จึงมีการบริหารจัดการความเสี่ยงรวมทั้งระบบ SCADA (ระบบควบคุมและเก็บข้อมูล) ในบางกรณี โดยใช้แนวทางที่เหมาะสมกับระบบและเทคโนโลยีต่าง ๆ เพื่อเสริมความปลอดภัยในระดับองค์กร ทั้งนี้ การทดสอบเจาะระบบ (Penetration Testing) และการประเมินช่องโหว่ (Vulnerability Assessment) ได้กลายเป็นส่วนสำคัญของกระบวนการบริหารความเสี่ยง เพื่อยืนยันความแข็งแกร่งของระบบก่อนการใช้งานจริงอย่างต่อเนื่อง

บริการผู้ให้บริการภายนอกด้านความปลอดภัยข้อมูลและในภาคสุขภาพ

ในปี 2025 มีการขยายบริการจากผู้ให้บริการภายนอกที่เน้นด้านความปลอดภัยข้อมูลในภาคสาธารณสุขและธุรกิจอื่น ๆ ประกอบด้วย

  • การตรวจสอบและฟื้นฟูความปลอดภัยของข้อมูลผู้ป่วยที่มีความละเอียดอ่อน รวมถึงการป้องกันการรั่วไหลของข้อมูลส่วนบุคคลตามกฎหมาย PDPA และ HIPAA
  • การจัดการและตอบสนองต่อเหตุการณ์ด้านความปลอดภัยแบบเรียลไทม์ ด้วยศูนย์ปฏิบัติการความปลอดภัย (Security Operations Center: SOC) ที่ทำงานตลอด 24 ชั่วโมง
  • การบูรณาการระบบตรวจจับและแจ้งเตือนภัยไซเบอร์ให้มีความรวดเร็วและแม่นยำมากขึ้น ด้วยการใช้ AI และ Machine Learning ในการวิเคราะห์ข้อมูลและทำนายภัยก่อนเกิดขึ้น

บริการเหล่านี้มีบทบาทสำคัญช่วยสนับสนุนการบริหารจัดการข้อมูลที่มีความละเอียดอ่อน และช่วยลดความเสี่ยงในการป้องกันความต่อเนื่องของบริการสุขภาพและธุรกิจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงที่เกิดวิกฤติเช่นโรคระบาดหรือภัยธรรมชาติ

การประเมินประสิทธิภาพและงบประมาณสำหรับโปรแกรมความปลอดภัยไซเบอร์

องค์กรทั้งภาครัฐและเอกชนจำเป็นต้องวางแผนการลงทุนในโปรแกรมความปลอดภัยไซเบอร์ โดยพิจารณาทั้ง

  • ค่าใช้จ่ายตรง เช่น ค่าซื้อระบบ โครงสร้างพื้นฐาน และบริการจากผู้เชี่ยวชาญ
  • การลดความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นจากภัยคุกคามไซเบอร์ในอนาคต ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อชื่อเสียงและการดำเนินธุรกิจ
  • การสร้างความเชื่อมั่นและภาพลักษณ์ที่ดีต่อผู้ใช้บริการ รวมถึงการปฏิบัติตามข้อกำหนดและกฎหมายที่เกี่ยวข้อง
  • การประเมินผลตอบแทนจากการลงทุน (ROI) ในระยะยาว โดยเน้นประสิทธิภาพของระบบความปลอดภัยที่เพิ่มขึ้นและลดเวลาการฟื้นฟูหลังเหตุการณ์

การวางงบประมาณที่เหมาะสมช่วยให้องค์กรสามารถบริหารความเสี่ยงและรักษาความต่อเนื่องของธุรกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพ ผ่านการใช้เครื่องมือวัดผลและเกณฑ์ประเมินที่เป็นมาตรฐาน เช่น COBIT หรือ ISO/IEC 27001

การส่งเสริมความปลอดภัยไซเบอร์ในธุรกิจและการสร้างเครือข่ายความปลอดภัย

ธุรกิจในปี 2025 มีการนำ AI และเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้เพื่อสนับสนุนการป้องกันภัยไซเบอร์ โดยเน้น

  • การสร้างเครือข่ายความปลอดภัยร่วมกันระหว่างภาครัฐและเอกชน เพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลภัยคุกคามและวิธีการป้องกันอย่างทันท่วงที
  • การพัฒนาศักยภาพและอบรมบุคลากรในด้านความปลอดภัยไซเบอร์อย่างต่อเนื่อง โดยใช้หลักสูตรใหม่ที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีล้ำสมัยและการบริหารจัดการความเสี่ยง
  • การแลกเปลี่ยนข้อมูลและกำหนดมาตรฐานความปลอดภัยในวงกว้าง รวมถึงการส่งเสริมให้องค์กรต่าง ๆ นำมาตรฐานเช่น ISO/IEC 27001 มาใช้ในระบบของตน
  • การใช้ AI ในการตรวจจับและกรองข้อมูล เช่น AI Whoscall และ Content Checker เพื่อช่วยลดสแปมและข้อมูลที่ไม่ถูกต้อง สอดคล้องกับแนวทางการปกป้องข้อมูลส่วนบุคคลและความปลอดภัยทางไซเบอร์

มาตรการเหล่านี้ช่วยเสริมสร้างความสามารถในการรับมือภัยไซเบอร์ที่มีความซับซ้อนและยกระดับความมั่นคงปลอดภัยของข้อมูลในธุรกิจ นอกจากนี้ยังช่วยให้ธุรกิจสามารถปฏิบัติตามกฎระเบียบได้อย่างมีประสิทธิผล ลดโอกาสเกิดความเสียหายและความเสี่ยงทางกฎหมาย

การยกระดับความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ในภาคขนส่งยุคดิจิทัล

อีกหนึ่งความคืบหน้าที่สำคัญในปี 2025 คือความร่วมมือระหว่างกระทรวงคมนาคมและคณะกรรมการการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ (สกมช.) ในการจัดตั้ง Sectoral CERT สำหรับภาคคมนาคม เพื่อเสริมเกราะป้องกันภัยไซเบอร์ในระบบขนส่งที่พึ่งพาเทคโนโลยีดิจิทัลมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง

ระบบขนส่งสาธารณะ เช่น ระบบควบคุมเดินรถ ระบบตั๋วอิเล็กทรอนิกส์ และโครงข่ายการสื่อสาร ล้วนเป็นเป้าหมายที่อาจถูกโจมตีทางไซเบอร์ได้ง่ายขึ้น หากไม่มีมาตรการป้องกันที่เหมาะสม ซึ่งอาจส่งผลกระทบทั้งต่อความปลอดภัยของประชาชนและความต่อเนื่องของบริการสาธารณะ ด้วยเหตุนี้ Sectoral CERT ของภาคคมนาคมจึงได้พัฒนากลไกป้องกันและตอบสนองภัยคุกคามแบบครบวงจร ทั้งในด้านเทคนิคและการจัดการ โดยใช้โซลูชันระบบไฟร์วอลล์ เทคโนโลยี XDR และ Cortex XSOAR ของพาโล อัลโต้ เน็ตเวิร์กส์ เพื่อให้ทีมรักษาความปลอดภัยสามารถตรวจจับและตอบสนองต่อเหตุการณ์อย่างรวดเร็วและอัตโนมัติ

นอกจากนี้ยังมีการจัดอบรมและพัฒนาศักยภาพบุคลากรเฉพาะทาง รวมถึงการจัดทำมาตรฐานและแนวปฏิบัติตามมาตรฐานสากล เพื่อยกระดับความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ในระบบขนส่งและโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญ ส่งผลให้ประชาชนสามารถใช้บริการขนส่งได้อย่างมั่นใจและปลอดภัยยิ่งขึ้นในยุคดิจิทัล ซึ่งถือเป็นสิ่งจำเป็นที่ตอบโจทย์ความท้าทายของโลกยุคใหม่ในปี 2025

ในปี 2025 ประเทศไทยได้พัฒนาในด้านการแจ้งเตือนภัยฉุกเฉินดิจิทัลและความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ผ่านระบบแจ้งเตือนด้วย Cell Broadcast ที่พัฒนาโดย AIS ร่วมกับหน่วยงานภาครัฐ เพื่อเพิ่มความพร้อมของประชาชนในการรับภัยฉุกเฉิน พร้อมกันนี้ มีการจัดตั้ง Sectoral CERT เพื่อดูแลด้านภัยไซเบอร์ในภาคส่วนสำคัญ รวมถึงการลงทุนในเทคโนโลยีและมาตรฐานสากลสำหรับภาคการเงินและระบบโครงสร้างพื้นฐานสำคัญ การขยายบริการด้านความปลอดภัยข้อมูลโดยผู้ให้บริการภายนอก และความร่วมมือกับภาคธุรกิจและสาธารณสุข เพื่อส่งเสริมเครือข่ายความปลอดภัยไซเบอร์ของประเทศ

ทั้งนี้ ภัยคุกคามไซเบอร์ที่ซับซ้อนยิ่งขึ้นยังคงต้องการความร่วมมือและการลงทุนนวัตกรรมอย่างต่อเนื่อง เพื่อรักษาความมั่นคงของโลกดิจิทัลในปัจจุบันและอนาคต โดยที่ประเทศไทยกำลังมุ่งหน้าเป็นหนึ่งในผู้นำด้านความปลอดภัยไซเบอร์ในภูมิภาคอาเซียน

Sources

  • https://www.thestorythailand.com/02/05/2025/152810/
  • https://www.infoquest.co.th/2025/476622
  • https://www.thestorythailand.com/08/05/2025/153015/

การยกเว้นความรับผิดชอบ: เนื้อหาทั้งหมด รวมถึงข้อความ กราฟิก รูปภาพ และข้อมูลที่มีอยู่ในหรือสามารถเข้าถึงได้ผ่านทางเว็บไซต์นี้มีวัตถุประสงค์เพื่อข้อมูลทั่วไปเท่านั้น ข้อมูลและวัสดุที่มีอยู่ในหน้านี้ รวมถึงข้อกำหนด เงื่อนไขและคำอธิบายที่ปรากฏอาจมีการเปลี่ยนแปลงโดยไม่ต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า.